ครึ่งแรก

          เรอัล มาดริด เริ่มเกมได้อย่างรวดเร็ว และมาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 ตั้งแต่ช่วงนาทีที่ 12 จาก โรดรีโก้  กองหน้าดาวรุ่งชาวบราซิล ที่ยิงประตูแรกให้กับทีมในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลนี้

          อย่างไรก็ตาม แมนฯ ซิตี้ ไม่ยอมแพ้ และเดินหน้าบุกอย่างหนัก โดยมี เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ กองหน้าตัวเก่งของทีมเป็นหัวใจสำคัญ  แต่ยังไม่สามารถเจาะแนวรับของเรอัล มาดริด ลงได้ 

ครึ่งหลัง

          แมนฯ ซิตี้ พยายามบุกอย่างหนัก แจ็ค กรีลิช ยิง แต่ อันเดร ลูนิน เซฟไว้ได้ และ ฟิล โฟเด้น ได้จบสกอร์ แต่ยังไม่เป็นผล

          จนกระทั่งนาทีที่ 76 เควิน เดอ บรอยน์ กองกลางกัปตันทีมของเรือใบสีฟ้า ก็มาทำประตูตีเสมอได้สำเร็จ จากจังหวะที่ เจเรมี่ โดกู ยิงลูกครอสเข้ามา 

          ทั้งสองทีมพยายามอย่างหนักเพื่อหาประตูชัย แต่ไม่มีใครทำสำเร็จ จบเกม 90 นาที เสมอกัน 1-1

ต่อเวลา

          หลังจากจบ 120 นาที ยังไม่มีทีมใดทีมหนึ่งสามารถยิงประตูเพิ่มได้ ทำให้ต้องตัดสินหาผู้ชนะด้วยการดวลจุดโทษ

ดวลจุดโทษ

          ในช่วงดวลจุดโทษ เรอัล มาดริด แสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพและประสบการณ์ที่เหนือกว่า แมนฯ ซิตี้  โดยยิงจุดโทษได้แม่นยำถึง 4 ลูก จาก 5

จบเกม

          เรอัล มาดริด ชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 4-3 ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดที่สอง เก็บชัยชนะด้วยสกอร์รวม 4-4 ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ